make your own grape wine

วิธีการผลิต ไวน์องุ่น ทำเองได้ง่ายๆ

ตามทฤษฎีแล้วการทำไวน์นั้นง่ายมาก ยีสต์เมื่อเจอกับน้ำองุ่นในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมช่วยให้การหมักมีประสิทธิภาพสูงสุด มันเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่ไวน์ถูกค้นพบครั้งแรกโดยบังเอิญเมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อยีสต์ตามธรรมชาติที่ถูกลมพัดตกลงไปบนน้ำองุ่นหลังจากการหมักอยู่ช่วงระยเวลาหนึ่ง มีบางคนหยุดหยุดเพื่อลิ้มรสและชอบสิ่งที่เขาค้นพบจนกลายมาเป็นไวน์อย่างที่ทุกคนรู้จัก จากนั้นกระบวนการผลิตไวน์ได้รับการปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นเรื่องของการควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ดังนั้นมันจึงกลายเป็นทั้งศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์และศิลปะ แล้วการทำไวน์ที่บ้านมันทำได้จริงหรือเราลองมาดูขั้นตอนการทำกันดีกว่า

วิธีทำไวน์โฮมเมด

การทำไวน์ที่บ้านต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่างซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นของราคาแพง มันจะต้องสะอาดหมดจด สิ่งที่ทำยากที่สุดในบรรดาขั้นตอนทั้งหมดก็คือ “การรอ” ต่อไปนี้เป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการหมักไวน์

1.ถังขนาด 4 แกลลอนสำหรับใส่น้ำดื่ม (Food Grade)

2.เหยือกแก้วขนาด 1 แกลลอน 3 ขวดเพื่อใช้เป็นภาชนะหมักสำรอง

3.ตัวล็อคแบบ fermentation lock 3 ชิ้น

4.จุกยางเพื่อใช้ปิดในถังหมักสำรอง

5.ถุงตาข่ายไนล่อนขนาดใหญ่

6.ท่อพลาสติกยาวประมาณ 6 ฟุต

7.20 ขวดไวน์ (5 ขวดต่อไวน์ 1 แกลลอน)

8.จุกไม้ก๊อก 9 อัน ที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว

9.ไฮโดรมิเตอร์สำหรับวัดระดับน้ำตาล

ขั้นตอนที่ 1

1.ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ของคุณผ่านการฆ่าเชื้ออย่างละเอียดแล้วล้างให้สะอาด

2.คัดองุ่นของ โดยโยนองุ่นที่ดูเน่าหรือแปลกประหลาดออกไป

3.ล้างองุ่นให้สะอาด

4.บดองุ่นเพื่อให้ได้น้ำใส่ลงในภาชนะหมักหลัก ใช้มือจะทำงานได้ดีที่สุดในขั้นตอนนี้

5.เพิ่มยีสต์ไวน์

6.เสียบไฮโดรมิเตอร์เพื่อวัดระดับน้ำตาล ถ้าน้อยกว่า 1.010 เพิ่มน้ำตาลเล็กน้อย หากจะต้องเติมน้ำตาลก่อนอื่นให้ละลายน้ำตาลทรายขาวในน้ำกรองบริสุทธิ์ (การเติมน้ำตาลช่วยเพิ่มระดับแอลกอฮอล์)

7.ปิดคลุมถังหมักหลักด้วยผ้า ใช้เวลาหมักหนึ่งสัปดาห์ถึง 10 วัน ในช่วงเวลาหลายวัน การหมักจะทำให้เกิดฟองขึ้น ตะกอนจะตกลงไปด้านล่าง

ขั้นตอนที่ 2

1.ค่อยๆ กรองของเหลวออกเพื่อกำจัดตะกอนและฟอง

2.เทน้ำผ่านช่องกรวยในภาชนะหมักที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เติมที่ด้านบนเพื่อลดปริมาณอากาศที่ไปถึงไวน์ เติมจนเต็มเพื่อลดปริมาณอากาศเข้าไปถึงไวน์

3.ปิดภาชนะด้วย airlocks

4.ปล่อยหมักเป็นเวลาหลายสัปดาห์

5.ใช้หลอดพลาสติกเพื่อทำเป็นกาลักสำหรับดูดน้ำลงในภาชนะบรรจุที่สอง เพื่อแยกไวน์ออกจากตะกอน

6.ดำเนินการต่อเป็นเวลา 2 หรือ 3 เดือนจนกว่าไวน์จะหมด

ขั้นตอนที่ 3

1.เทไวน์ลงใส่ขวด เหลือพื้นที่เอาไว้สำหรับไม้ก๊อกประมาณครึ่งนิ้ว

2.ปิดจุกไม้ก๊อก เก็บไวน์ตั้งตรงในช่วงสามวันแรก

3.หลังจากสามวันให้เก็บไวน์ไว้ที่อุณหภูมิ 55 องศา F. สำหรับไวน์แดงอายุอย่างน้อย 1 ปี ไวน์ขาวพร้อมดื่มหลังจาก 6 เดือนเท่านั้น

4.หลังจากเวลาผ่านไปหลายเดือน ตอนนี้มันก็พร้อมดื่มได้แล้ว!


penfolds-grange-hermitage-1951

ไวน์แพงอันดับที่ 10 Penfolds Grange Hermitage 1951

Penfolds Grange Hermitage 1951 (เพนโฟลต์ เกรนจ์ เฮอร์มิเทจ 1951) เป็นไวน์แดงจากประเทศ ออสเตรเลีย โดยใช้องุ่นแดงจาก Shiraz (ซีราส) ในการนำมาทำเป็นไวน์ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ไวน์ Penfolds Grange Hermitage 1951 นี้มีราคาแพงเนื่องจากมีเพียง 20 ขาวในโลกเท่านั้นและมันอาจจะลดลงและหายากมาขึ้นอีกก็เป็นได้ ซึ่งราคาในปัจจุบันอยู่ที่ 38,420 ดอลลาร์ หรือ 1,300,000 บาท


massandra-1775

ไวน์แพงอันดับที่ 9 Massandra 1775

Massandra 1775 (มาสซานดรา 1775) เป็นไวน์ที่จะเรียกว่า 2 สัญชาติก็ว่าได้ เพราะ Massandra 1775 นั้นเป็นไวน์ที่ถูกผลิตขึ้นในประเทศสเปน และถูกนำไปบ่มต่อในประเทศยูเครนในโรงงานที่เก่าแก่มากที่สุด และไวน์ Massandra 1775 ล็อตนี้ถูกเก็บไว้นานมากว่าหลายร้อยปี จนไม่สามารถรับประทานได้ แต่ก็เป็นไวน์ที่ติดอันดับราคาแพงถึง 43,500 ดอลลาร์ หรือ 1,500,000 บาท


chateau-dyquem-1811

ไวน์แพงอันดับที่ 8 Chateau d’Yquem 1787

Chateau d’Yquem 1787 เป็นไวน์ขาวหายากและมีราคาแพงมากที่สุดในโลกสำหรับไวน์ขาวและยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะทานได้หรือไม่สำหรับ Chateau d’Yquem 1787 ขวดนี้ ซึ่งมีราคาสูงถึง 100,000 ดอลลาร์ หรือ 3,400,000 บาท เลยทีเดียว


chateau-dyquem-1811-s

ไวน์แพงอันดับที่ 7 Chateau d’Yquem 1811

Chateau d’Yquem 1811 เรียกว่าเป็นไวน์ขาวที่มีมูลค่าของขวดที่สูงที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะ Chateau d’Yquem 1811 ขวดนี้ใช้ขวดบรรจุที่เป็นขวดในสมัยโบราณแท้ ซึ่งถูกนำมาผสมใหม่ให้สามารถกลับมาดื่มได้อีกครั้ง ซึ่งคนที่ได้ซื้อไวน์ Chateau d’Yquem 1811 ขวดนี้ไปครองได้นำไวน์ขวดนี้ไปตั้งโชว์ที่งานศิลปะในบาร์ของตัวเขาเอง ซึ่งไวน์ขวดนี้มีมูลค่า 117,000 ดอลลาร์ หรือ 4,000,000 บาท จะเรียกว่าแพงเพราะขวดอย่างเดียวก็ไม่ผิด


romanee-conti-1945

ไวน์แพงอันดับที่ 6 Romanée-Conti 1945

Romanée-Conti 1945  ไวน์ขวดนี้ยังไม่มีประวัติความเป็นมาอย่างแน่ชัด แต่ที่แน่ๆ ก็คือไวน์ยี่ห่อนี้เคยเป็นไวน์ที่ดีที่สุดและแพงที่สุดของไวน์ โดยเฉพาะ Romanée-Conti 1945 เนื่องจากเป็นปีสุดท้ายที่ได้ทำการผลิตไวน์ Romanée-Conti นี้ขึ้นเนื่องจากการถูกฉีกสัญญาในการผลิตและปัญหาต่างๆ ในช่วงที่เกิดสงคราม Romanée-Conti 1945 มีราคาอยู่ที่ 123,900 ดอลลาร์ หรือ 4,200,000 บาท นั้นเอง


chateau-lafite-1787

ไวน์แพงอันดับที่ 5 Chateau Lafite 1787

Chateau Lafite 1787 (ชาโต้ ลาฟีต 1787) เป็นอีกหนึ่งไวน์ที่มีราคาแพงและมีข้อมูลเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อีกด้วยสำหรับไวน์ขวดนี้ เพราะเป็นอีกหนึ่งของสะสมของ Thomas Jefferson (โทมัส เจฟเฟอร์สัน) แถมยังมีสัญลักษณ์ ThJ อยู่ที่ขวดอีกด้วย ซึ่งไวน์ขวดนี้ถูกซื้อโดย Malcolm Forbes จากนิตยาสาร Forbes ในราคาสูงถึง 160,000 ดอลลาร์ หรือ 5,500,000 บาท เลยทีเดียว


kalimna-block-42-cabernet-sauvignon-2004

ไวน์แพงอันดับที่ 4 Kalimna Block 42

Kalimna Block 42 Cabernet Sauvignon 2004 (คาลิมา บล็อก 42 กาแบร์เน โซวีญง) เป็นอีกหนึ่งไวน์ที่มีราคาแพงมาก เนื่องจากไวน์ขวดนี้จะใช้ต้นองุ่นในการทำบรรจุขวดที่มีอายุมากที่สุดในโลกและมีเพียงแค่ 12 ขวด ในโลกอีกด้วย ซึ่งไวน์ขวดนี้จะไม่มีจุกก๊อกในการเปิดขวด ซึ่งหากใครที่อยากจะลิ้มรสชาติไวน์ Kalimna Block 42 Cabernet Sauvignon 2004 จะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการเปิดเฉพาะเท่านั้น และมีราคาอยู่ที่ 168,000 ดอลลาร์ หรือ 5,800,000 บาท นั้นเอง


ไวน์แพงอันดับอันดับที่ 3 Chateau Margaux 1787

Chateau Margaux 1787 (ชาโต้ มาร์กอส 1787)  เป็นไวน์ที่มีเรื่องราวน่าประหลาดใจมากเนื่องจากเป็นไวน์ที่ไม่เคยมีใครได้เคยลิ้มรสหรืถูกเปิดเลย ซึ่งเจ้าไวน์ขาดนี้เป็นของสะสมของ Thomas Jefferson (โทมัส เจฟเฟอร์สัน) ซึ่งไวน์ขวดนี้มีเจ้าของชื่อ William Sokolin (วิลเลี่ยม โซโคลิน) ซึ่งเขาได้ตั้งราคาไวน์ขวดนี้ไว้ 500,000 เหรียญ ถึงจะมีคนสนนราคาไวน์ขวดนี้มากมายแต่ William ก็ไม่เคยคิดที่จะขาย มีอยู่วันหนึ่ง William ได้นำไวน์ขวดนี้ไปที่งาน Margaux Dinner ณ โรงแรม Four Season และไวน์ขวดนี้ก็ถูกเด็กเสิร์ฟทำแตก จึงทำให้ William ได้รับเงินประกันมากถึง 225,000 ดอลลาร์ หรือ 7,650,000 บาท


chateau-lafite-1869

ไวน์แพงอันดับที่ 2 Chateau Lafite 1869

Chateau Lafite 1869 (ชาโตว์ ลาฟิต 1869) เป็นไวน์ที่มีราคาแพงมากที่สุดจากงานประมูลไวน์ของประเทศฮ่องกง ซึ่งไวน์ขวดนี้มีราคาที่ถูกประมูลมากถึง 233,972 ดอลลาร์ หรือ 8,000,000 บาท ซึ่งผู้ที่ได้เป็นเจ้าของไวน์ขวดนี้ไปมีชื่อว่า Robert Sleigh